วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556


เพลงละอายใจ
ศิลปิน ดีเจเจ๊เเหม่ม กรีนเวฟ

เนื้อเพลง

ถ้าฉันคิดได้อย่างวันนี้ ตั้งแต่วันนั้นที่เธอยังอยู่
ถ้าฉันนั้นรู้ในถูกผิด เธอคงไม่คิดจะจากไป
ที่ฉันร้องไห้อยู่ตอนนี้ กลั่นจากส่วนลึกในหัวใจที่ร้องไห้
เพราะใจกำลังคิดถึงเธอ เธออยู่ที่ใด
ได้โปรดมาฟังบางสิ่งในใจ ที่ในวันนี้ยังติดค้าง
แต่ฉันไม่รู้จะเจอเธอที่ไหน โลกใหญ่เกินจะค้นเจอ
อยากขอโทษที่เคยเอาแต่ใจ อยากขอโทษอะไรที่ร้ายๆ
อยากให้เธออภัยในสิ่งที่ฉันผิดพลั้ง ไปมากมาย
อยากขอโทษในวันที่ผ่านมา อาจเพราะฉันมีตาแต่หามีแววไม่
ทำสิ่งดีๆหล่นหาย ทำคนที่รักฉันเสียใจ เธออยู่แห่งใดที่ไหน
ฉันละอายแก่ใจต่อเธอเหลือเกิน...
ฉันพร้อมชดใช้ให้เธอแล้ว แววตาตอนนี้ฉันว่างเปล่า
ฉันขอให้ความเป็นเรา กลับคืนมาได้ไหม
เธออยู่ที่ใดได้โปรดมาฟัง บางสิ่งในใจที่วันนี้ยังติดค้าง
แต่ฉันไม่รู้จะเจอเธอที่ไหน โลกใหญ่เกินจะค้นเจอ
อยากขอโทษที่เคยเอาแต่ใจ อยากขอโทษอะไรที่ร้ายๆ
อยากให้เธออภัยในสิ่งที่ฉันผิดพลั้งไปมากมาย
อยากขอโทษในวันที่ผ่านมา อาจเพราะฉันมีตาแต่หามีแววไม่
ทำสิ่งดีๆหล่นหาย ทำคนที่รักฉันเสียใจ เธออยู่แห่งใดที่ไหน
ฉันละอายแก่ใจต่อเธอเหลือเกิน
อยากให้เธออภัยในสิ่งที่ฉันผิดพลั้งไปมากมาย
อยากขอโทษในวันที่ผ่านมา อาจเพราะฉันมีตาแต่หามีแววไม่
ทำสิ่งดีๆหล่นหาย ทำคนที่รักฉันเสียใจ เธออยู่แห่งใดที่ไหน
ฉันละอายแก่ใจต่อเธอเหลือเกิน
เหตุผลที่ชอบเพลงนี้เพราะ มีสาระเนื้อเพลงที่ดี ดนตรีน่าฟัง สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองความรัก ที่ทำผิดเเล้วไม้กล้ายอมรับความผิด
กว่าจะสำนึกได้ทุกอย่างก็สายไปเเล้ว

ขอขอบคุณที่มา

เนื้อเพลง http://music.gmember.com
วิดิโอ      www.youtube.com

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข่าว

กูเกิลโครมแคสดูคลิปออนไลน์ทางทีวี

กูเกิล เปิดตัวโครมแคส อุปกรณ์ขนาดเท่ายูเอสบี สำหรับใช้ดูวิดีโอคลิปออนไลน์ทางทีวี พร้อมกับเผยโฉมแท็บเล็ต เน็กซัส 7 รุ่นสอง
กูเกิล สหรัฐอเมริกา ได้แถลงข่าว เปิดตัวอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อกับทีวี เพื่อดูวิดีโอคลิปออนไลน์จากเว็บไซต์ เรียกว่า โครมแคส (Chormecast) ขนาดเท่าอุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบยูเอสบี หรือทัมบ์ไดรฟ์ ใช้สำหรับเสียบเข้ากับทีวีที่มีช่องพอร์ตเอชดีเอ็มไอ เพื่อดูวิดีโอคลิปจากเว็บไซต์ยูทูบ หรือสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตและคอมพิวเตอร์ ทำให้ทีวีรับชมวิดีโอคลิปออนไลน์ได้ทันที กูเกิลจะวางจำหน่ายโครมแคสในสหรัฐ
อเมริกา ในราคาประมาณ 35 ดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้กูเกิล ได้เปิดตัวแท็บเล็ต เน็กซัส 7 รุ่นสอง เป็นโมเดลสำหรับปี ค.ศ. 2013 ซึ่งมีขนาดบางและยาวกว่ารุ่นแรก กล้อง 5 ล้านพิกเซล จอ 7 นิ้ว ไอพีเอส ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เจลลีบีน 4.3 มีฟังก์ชั่นพิเศษตั้งค่าสำหรับใช้งานคนเดียวหรือหลายคน พร้อมระบบป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ที่เป็นเด็กกดซื้อแอพพลิเคชั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ.

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2556 
ที่มา  http://www.dailynews.co.th



วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

moore's law

Moore's law

กฏของมัวร์ หรือ Moore's   law   คือ กฏที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว มีความว่า จํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆสองปี  Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ง Intel  ซึ้งได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี 1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยํา อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก อุตสาหกรรม semiconductor  นํากฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผน พัฒนาอุตสาหกรรมได้ moore's law เป็น ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจำนวนของ ทรานซิสเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน แผงวงจรรวม มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น Moore predicted that this trend would continue for the foreseeable future. มัวร์ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้ ในปีถัดไป, การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18 เดือน
 กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้นซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม



กฎของมัวร์ (Moore's Law)        
-ในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที ่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ
 - พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์  กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม
 การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ    planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐาน พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์
        คําว่า กฎของมัวร์ นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์   Caltech   นามว่า    Carver Mead
ซึ่งกล่าวว่าจํานวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆหนึ่งปี ในช่วงปี 1965  ต่อมามัวร์จึงได้เปลี่ยนรูปกฎ เพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปี ในปี 1975



วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บิตตรวจสอบ

บิตตรวจสอบ  (Parity  bit)

- บิตตรวจสอบหรือพารี้ตี้บิต เป็นบิตที่เพิ่มเติมเข้ามาต่อท้ายอีก 1บิต
-เป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจสอบความเเม่นยำเเละความถูกต้องของข้อมูลที่จัดเก็บ
-บิตตรวจสอบมี2 วิธีด้วยกันคือ
1 การตรวจสอบบิตภาวะคู่จะมีค่าเป็น 1 เมื่อจำนวนของเลข 1 ในข้อมูลเป็นจำนวนคี่ (ซึ่งจะทำให้จำนวนเลข 1 ทั้งหมดเป็นจำนวนคู่ เมื่อรวมกับบิตนี้)
2 เเละการตรวจสอบบิตภาวะคี่ จะมีค่าเป็น 1 เมื่อจำนวนของเลข 1 ในข้อมูลเป็นจำนวนคู่ (ซึ่งจะทำให้จำนวนเลข 1 ทั้งหมดเป็นจำนวนคี่ เมื่อรวมกับบิตนี้)


วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รหัส

รหัส   ASCII

รหัสแอสกี (ASCII)


การกำหนดรหัสแทนข้อมูลขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมูลและคอมพิวเตอร์ รหัสที่ใช้แทนตัวอักขระที่เป็นมาตรฐานแบบหนึ่ง เรียกว่า รหัสแอสกี (American Standard Code for Information Interchange : ASCII) รหัสแอสกีเป็นรหัสที่กำหนดขึ้นโดย หน่วยงานกำหนดมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาใช้กันแพร่หลายกับระบบคอมพิวเตอร์ทั่วไปและระบบสื่อสารข้อมูล รหัสอักขระแต่ละตัวประกอบด้วย 8 บิต  คือ
บิตที่        7          6          5          4          3          2          1          0
ตัวเลขฐานสอง  8 บิตหรือ  1 ไบต์ สามารถใช้แทนรหัสต่างๆ ได้ถึง 256 ตัว แต่รหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมดมีจำนวนรวมกันไม่เกิน  128 ตัวดังนั้นสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุสาหกรรมจึงได้กำหนดภาษาไทยเพิ่มเติมเพื่อใช้ในงานสารสนเทศเป็นภาษาไทยได้ เช่น

10100001  = 1 ไบต์ (byte)ใช้แทนตัวอักษร  ก
10100010  = 1 ไบต์ (byte)ใช้แทนตัวอักษร  ข
10100100  = 1 ไบต์ (byte)ใช้แทนตัวอักษร  ค
ตัวอย่าง คำว่า "แดง" เขียนแทนได้ด้วย
11100001 10110100 10100111


ตารางแสดงรหัส แอสกี (ASCII Code)


รหัสแอสกี
ASCII code
b70000000011111111
b60000111100001111
b50011001100110011
b40101010101010101
b3b2b1b0
00000@P?p
0001!1AQaq.ั
0010"2BRbr
0011?3CScs.ำ
0100$4DTdt.ิ
0101%5EUeu.ี
0110&6FVfv.ึ
0111'7GWgw.ื.็
1000(8HXhxํ่`ุ.่
1001)9IYiyู`ู.้
1010*:JZjz.๊
1011+;K[k?.๋
1100,<Ll:.์
1101-=M]m.ํ
1110.>Nn
1111/?O_o฿


รหัส  Unicode



รหัสยูนิโค้ด (Unicode) เป็นรหัสที่สร้างขึ้นมาในระยะหลังที่มีการสร้างแบบตัวอักษรของภาษาต่าง ๆ รหัสยูนิโค้ด เป็นรหัสที่ต่างจาก 2 ชนิด ที่ได้กล่าวมา คือใช้เลขฐานสอง 16 บิต ในการแทนตัวอักษร เนื่องจากที่มาของการคิดค้นรหัสชนิดนี้ คือ เมื่อมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ในหลายประเทศและมีการสร้างแบบตัวอักษร (font) ของภาษาต่าง ๆ ทั่วโลกในบางภาษา เช่น ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาที่เรียกว่าภาษารูปภาพ ซึ่งมีตัวอักษรเป็นหมื่นตัว หากใช้รหัสที่เป็นเลขฐานสอง 8 บิต เราสามารถแทนรูปแบบตัวอักษรได้เพียง 256 รูปแบบซึ่งไม่สามารถแทนตัวอักษรได้ครบ จึงสร้างรหัสใหม่ขึ้นมาที่สามารถ แทนตัวอักขระได้ถึง 65,536 ตัว ซึ่งมากพอและสามารถแทนสัญลักษณ์กราฟิกและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้อีกด้วย

ตารางรหัสเเสดงUnicode



ชื่อภาษาอังกฤษ

SIRILAK  JANPIBOON

เเทนด้วยรหัส  ASCII

S   01010011 
I   01001001
R   01010011 
I    01001001 
L   01001100 
A   01000001 
K   01001011 
Space 01000000
J   01001011 
A   01000001
N   01001110 
P  01010000 
I   01001001 
B   01000010 
O   01001111 
O   01001111 
N  01001110
ทั้งหมด 138 bit =17 byte








วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยุคต่างๆของคอมพิวเตอร์

ยุคที่หนึ่ง (First Generation Computer) พ.ศ. 2489-2501

คอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1



เป็นการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิใช่เครื่องคำนวณ โดยเมาช์ลีและเอ็กเคอร์ต (Mauchly and Eckert) ได้นำแนวความคิดนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากเครื่องหนึ่งเรียกว่า ENIAC (Electronic Numericial Integrator and Calculator) ซึ่งต่อมาได้ทำการปรับปรุงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น   และได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC (Universal Automatic Computer) ขึ้นเพื่อใช้ในการสำรวจสำมะโนประชากรประจำปี    
จึงนับได้ว่า UNIVAC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ ซึ่งนับเป็นการเริ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่างแท้จริง เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศในการควบคุมการทำงานของเครื่อง ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่มีขนาดใหญ่มากและราคาแพง ยุคแรกของคอมพิวเตอร์สิ้นสุดเมื่อมีผู้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสุญญากาศ

ยุคที่สอง (Second Generation Computer) พ.ศ. 2502-2506


คอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2


มีการนำทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในยุคนี้ยังได้มีการคิดภาษาเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) จึงทำให้ง่ายต่อการเขียนโปรแกรมสำหรับใช้กับเครื่อง


ยุคที่สาม (Third Generation Computer) พ.ศ. 2507-2512


คอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3

 คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง 5 ปี เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า "ไอซี" (IC) ซึ่งไอซีนี้ทำให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนำเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก           
นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time Sharing)



ยุคที่สี่ (Fourth Generation Computer) พ.ศ. 2513-2532



เป็นยุคที่นำสารกึ่งตัวนำมาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale Integrated : VLSI) ซึ่งสามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมีการประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้น ทำให้เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูกลง และมีความสามารถในการทำงานสูงและรวดเร็วมาก จึงทำให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้


ยุคที่ห้า (Fifth Generation Computer) พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน


 แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม

ในยุคนี้ ได้มุ่งเน้นการพัฒนา ความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และ ความสะดวกสบายในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้

โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI ให้ใช้งานง่าย และมีความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล