วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
moore's law
Moore's law
กฏของมัวร์ หรือ Moore's law คือ
กฏที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว มีความว่า
จํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆสองปี Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ง
Intel ซึ้งได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี
1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยํา อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก อุตสาหกรรม semiconductor นํากฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผน
พัฒนาอุตสาหกรรมได้ moore's law เป็น
ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจำนวนของ ทรานซิสเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน แผงวงจรรวม
มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น Moore predicted that this trend
would continue for the foreseeable future. มัวร์ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้
ในปีถัดไป, การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย
แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18
เดือน

กฎของมัวร์ (Moore 's Law)
-ในปี พ.ศ. 2490
วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป
ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก
เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า
โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที ่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า
ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี
ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร
กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ
คําว่า “กฎของมัวร์” นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์ Caltech นามว่า Carver Mead
ซึ่งกล่าวว่าจํานวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆหนึ่งปี
ในช่วงปี 1965
ต่อมามัวร์จึงได้เปลี่ยนรูปกฎ
เพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปี ในปี 1975

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
บิตตรวจสอบ
บิตตรวจสอบ (Parity bit)
- บิตตรวจสอบหรือพารี้ตี้บิต เป็นบิตที่เพิ่มเติมเข้ามาต่อท้ายอีก 1บิต-เป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจสอบความเเม่นยำเเละความถูกต้องของข้อมูลที่จัดเก็บ
-บิตตรวจสอบมี2 วิธีด้วยกันคือ
1 การตรวจสอบบิตภาวะคู่จะมีค่าเป็น 1 เมื่อจำนวนของเลข 1 ในข้อมูลเป็นจำนวนคี่ (ซึ่งจะทำให้จำนวนเลข 1 ทั้งหมดเป็นจำนวนคู่ เมื่อรวมกับบิตนี้)
2 เเละการตรวจสอบบิตภาวะคี่ จะมีค่าเป็น 1 เมื่อจำนวนของเลข 1 ในข้อมูลเป็นจำนวนคู่ (ซึ่งจะทำให้จำนวนเลข 1 ทั้งหมดเป็นจำนวนคี่ เมื่อรวมกับบิตนี้)
วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
รหัส
รหัส ASCII
รหัสแอสกี (ASCII)การกำหนดรหัสแทนข้อมูลขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมูลและคอมพิวเตอร์ รหัสที่ใช้แทนตัวอักขระที่เป็นมาตรฐานแบบหนึ่ง เรียกว่า รหัสแอสกี (American Standard Code for Information Interchange : ASCII) รหัสแอสกีเป็นรหัสที่กำหนดขึ้นโดย หน่วยงานกำหนดมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาใช้กันแพร่หลายกับระบบคอมพิวเตอร์ทั่วไปและระบบสื่อสารข้อมูล รหัสอักขระแต่ละตัวประกอบด้วย 8 บิต คือ บิตที่ 7 6 5 4 3 2 1 0 ตัวเลขฐานสอง 8 บิตหรือ 1 ไบต์ สามารถใช้แทนรหัสต่างๆ ได้ถึง 256 ตัว แต่รหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมดมีจำนวนรวมกันไม่เกิน 128 ตัวดังนั้นสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุสาหกรรมจึงได้กำหนดภาษาไทยเพิ่มเติมเพื่อใช้ในงานสารสนเทศเป็นภาษาไทยได้ เช่น | ||||||||||
|
ตารางแสดงรหัส แอสกี (ASCII Code) |
รหัสแอสกี ASCII code | b7 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | |||
b6 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 1 | 1 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 1 | 1 | 1 | ||||
b5 | 0 | 0 | 1 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | ||||
b4 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | ||||
b3 | b2 | b1 | b0 | |||||||||||||||||
0 | 0 | 0 | 0 | 0 | @ | P | ? | p | ฐ | ภ | ะ | เ | ๐ | |||||||
0 | 0 | 0 | 1 | ! | 1 | A | Q | a | q | ก | ฑ | ม | .ั | แ | ๑ | |||||
0 | 0 | 1 | 0 | " | 2 | B | R | b | r | ข | ฒ | ย | า | โ | ๒ | |||||
0 | 0 | 1 | 1 | ? | 3 | C | S | c | s | ฃ | ณ | ร | .ำ | ใ | ๓ | |||||
0 | 1 | 0 | 0 | $ | 4 | D | T | d | t | ค | ด | ฤ | .ิ | ไ | ๔ | |||||
0 | 1 | 0 | 1 | % | 5 | E | U | e | u | ฅ | ต | ล | .ี | ๅ | ๕ | |||||
0 | 1 | 1 | 0 | & | 6 | F | V | f | v | ฆ | ถ | ฦ | .ึ | ๆ | ๖ | |||||
0 | 1 | 1 | 1 | ' | 7 | G | W | g | w | ง | ท | ว | .ื | .็ | ๗ | |||||
1 | 0 | 0 | 0 | ( | 8 | H | X | h | x | จ | ธ | ศ | ํ่`ุ | .่ | ๘ | |||||
1 | 0 | 0 | 1 | ) | 9 | I | Y | i | y | ฉ | น | ษ | ู`ู | .้ | ๙ | |||||
1 | 0 | 1 | 0 | * | : | J | Z | j | z | ช | บ | ส | .๊ | ๚ | ||||||
1 | 0 | 1 | 1 | + | ; | K | [ | k | ? | ซ | ป | ห | .๋ | ๛ | ||||||
1 | 1 | 0 | 0 | , | < | L | l | : | ฌ | ผ | ฬ | .์ | ||||||||
1 | 1 | 0 | 1 | - | = | M | ] | m | ญ | ฝ | อ | .ํ | ||||||||
1 | 1 | 1 | 0 | . | > | N | n | ฎ | พ | ฮ | ||||||||||
1 | 1 | 1 | 1 | / | ? | O | _ | o | ฏ | ฟ | ฯ | ฿ | ๏ |
รหัส Unicode
รหัสยูนิโค้ด (Unicode) เป็นรหัสที่สร้างขึ้นมาในระยะหลังที่มีการสร้างแบบตัวอักษรของภาษาต่าง
ๆ รหัสยูนิโค้ด เป็นรหัสที่ต่างจาก 2 ชนิด ที่ได้กล่าวมา คือใช้เลขฐานสอง 16
บิต ในการแทนตัวอักษร เนื่องจากที่มาของการคิดค้นรหัสชนิดนี้
คือ เมื่อมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ในหลายประเทศและมีการสร้างแบบตัวอักษร (font)
ของภาษาต่าง ๆ ทั่วโลกในบางภาษา เช่น ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น
เป็นภาษาที่เรียกว่าภาษารูปภาพ ซึ่งมีตัวอักษรเป็นหมื่นตัว
หากใช้รหัสที่เป็นเลขฐานสอง 8 บิต เราสามารถแทนรูปแบบตัวอักษรได้เพียง
256 รูปแบบซึ่งไม่สามารถแทนตัวอักษรได้ครบ
จึงสร้างรหัสใหม่ขึ้นมาที่สามารถ แทนตัวอักขระได้ถึง 65,536 ตัว
ซึ่งมากพอและสามารถแทนสัญลักษณ์กราฟิกและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้อีกด้วย
ทั้งหมด 138 bit =17 byte
ตารางรหัสเเสดงUnicode

ชื่อภาษาอังกฤษ
SIRILAK JANPIBOON
เเทนด้วยรหัส ASCII
S 01010011
I 01001001
R 01010011
I 01001001
L 01001100
A 01000001
K 01001011
Space 01000000
J 01001011
A 01000001
N 01001110
P 01010000
I 01001001
B 01000010
O 01001111
O 01001111
N 01001110
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)